ลำโพง Active Vs Passive คืออะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร แบบไหนดีกว่า เชื่อว่าเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบ หากคุณอยากซื้อลำโพงมาไว้ใช้งานสักชุด ควรศึกษาเรื่องลำโพงให้ดี ลำโพง Active Vs Passive ไม่เหมือนกันความรู้และความเข้าใจจะทำให้คุณสามารตัดสินใจง่ายขึ้น เลือกลำโพงที่เหมาะสมกับความต้องได้หรือเลือกที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานมากที่สุด
ลำโพง Active Vs Passive ต่างกันอย่างไร
1.ลำโพง Active
มาเริ่มต้นกันที่ลำโพง Active ลำโพงชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ลำโพงที่มีภาคแอมป์ในตัว จะต้องมีการเสียบปลั๊กเมื่อต้องการเปิดใช้งาน ลำโพงชนิดนี้พร้อมใช้งานได้เลยแต่ละค่ายต่างออกแบบคิดค้นภาคแอมป์ขึ้นมาใช้ขับลำโพงของตนเอง มีทั้งวงจรแอมป์คลาส D คลาส AB นอกจากนั้นยังแบ่งออกเป็นแอมป์ 2ch ธรรมดา ฯลฯ
ข้อดีของลำโพง Active คือ การใช้งานง่าย การใช้งานเพียงแค่เสียบปลั๊กต่อกับเครื่องเล่นเพลง แค่นี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว สำหรับการจูนเสียง ผู้ผลิตจะออกแบบทุกอย่างมาให้แล้วแบบลงตัว ไม่ต้องกังวลเพราะลำโพง Active จะออกแบบภาคแอมป์มาอย่างเหมาะสมกับดอกลำโพงแน่นอน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มฟังก์ชันอื่นๆ เข้าไปยังลำโพงได้ เช่น บลูทูธ
ข้อเสียของ ลำโพง Active กรณีที่ผู้ออกแบบไม่ชำนาญเรื่องการทำแอมป์อาจทำให้ได้เสียงไม่ดี ขากความสนุกและความเพลิดเพลิน หากคุณชอบสลับสับเปลี่ยนนู่น นี่ นั่น ลำโพง Active อาจไม่เหมาะเพราะบางตัวออกแบบสายมาแตกต่างทำให้ไม่สามารถเล่นสายหรือต่อสายต่างๆ เพิ่มเติมไม่ได้
2.ลำโพง Passive
มาต่อกันที่ลำโพง Passive อยากให้คุณนึกภาพลำโพงสมัยก่อนที่มาเป็นลำโพงเปล่าๆ ต้องหาแอมป์มาต่อขยายเสียง เพื่อให้ลำโพงสามารถทำงานได้ ลำโพง Passive คือลำโพงที่มีขั้วต่อสายลำโพงเข้าอย่างเดียว ไม่มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนอะไรเลย มีเพียงไดร์เวอร์ หรือดอกลำโพงและตัวตู้ ที่ออกแบบมาแล้วอย่างดี ภายในตัวของลำโพงมีวงจรที่เรียกว่า Crossover Network ที่เป็นแบบ Passive ลำโพงจึงไม่ได้ต่อไปเพื่อเลี้ยงวงจร
ข้อดีของลำโพง Passive วงจร Crossover ภายในจะใส่มาแบบจัดเต็ม ส่วนใหญ่แล้ววัสดุหรือเกรดของอุปกรณ์จะสูงกว่าลำโพงแบบ Active ต้องบอกเลยว่าถ้าแอมป์ หรือสายต่อต่างๆ แมทช์กับลำโพงได้ดี เสียงจะไปไกลมากกว่าลำโพงแบบ Active มาก มีมิติเสียงที่ยอดเยี่ยมรวมถึงความชัดเจนของตำแหน่งเสียงด้วย
ข้อด้อยของลำโพง Passive ถ้าหากผู้เล่นไม่มีประสบการณ์ การจับคู่แอมป์กับลำโพงนั้นทำได้ยาก เสียงที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก หรือถ้าอยากให้เสียงออกมาดีอาจต้องซื้ออุปกรณ์จับคู่ที่จำหน่ายในราคาสูงหน่อย ถ้าถามว่าแบบไหนดีกว่าจริงๆ แล้วดีทั้งสองแบบขึ้นอยู่ที่ความถนัดของแต่ละบุคคลหรือความชอบของแต่ละบุคคล